
ข้าวหนม
ใครบอกว่านักศึกษาสัตวแพทย์เรียนเพียงวิชารักษาสัตว์กัน! นั่นไม่เป็นความจริงนะ…ในการเรียนช่วงปี ๑-๓ เรายังต้องเรียนรู้การสุขาภิบาลสัตว์ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดการในฟาร์มด้วย ถ้าจะเป็นฟาร์มสัตว์เราต้องเรียนทั้งนั้น และมีการออกฝึกงานในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนที่พวกเราเห่อกันมาก และฤดูร้อนแรกในโรงเรียนสัตวแพทย์ ฉันเลือก ‘ฟาร์มวัวนม’ ในการไปหาประสบการณ์
‘ฟาร์มอากาศฤกษ์’ อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรีเป็นที่เรียนพิเศษ ที่นักศึกษาสัตวแพทย์รุ่นพี่แนะนำว่าเป็นสถานที่ให้ความรู้ที่ดี หน้าที่ของนักศึกษาฝึกงานก็ไม่ต่างจากคนงานทั่วไปของฟาร์มโดยเวลาที่เริ่มปฏิบัติงานคือตอนตี ๕ ของทุกวัน
อากาศในตอนเช้ามืดหนาวเย็นจนหายใจออกมาเป็นไอพวกแม่วัวสีขาว-ดำทยอยกันเดินเข้าซองรีดนมของใครของมันที่เรียงกันเป็นแถวนับว่าพวกมันความจำไม่เลวทีเดียวเมื่อคล้องโซ่ประจำตำแหน่งให้แต่ละตัวงานของฉันก็เริ่มขึ้น
อันดับแรกต้องอาบน้ำล้างคราบดินโคลนออกจากแต่ละตัวจนเกลี้ยงเกลาแล้วเช็ดบริเวณเต้านมให้เนี้ยบกริบด้วยผ้าขนหนูหมาดน้ำยาฆ่าเชื้อเพื่อลดสิ่งปนเปื้อนในน้ำนมดิบ เมื่อเข้าประจำที่กันเรียบร้อยก็ได้เวลาอาหารเจ้ามอบางตัวเขารู้ว่าเป็นเงื่อนไขระหว่างการรีดนมเครื่องรีดยังไม่ทันมาน้ำนมก็พุ่งปรี๊ดเสียแล้ว
เสียงเครื่องรีดนมดังฉึกฉักๆ สลับกับการทำงานมือเป็นนระวิงของเรา ตัวไหนเสร็จก่อนก็ต้องเอายาฆ่าเชื้อจุ่มที่หัวนมเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อผ่านเข้ารูหัวนมไปก่อโรคเต้านมอักเสบได้ ซึ่งโรคนี้น่ะเป็นตัวแสบของทุกฟาร์มทีเดียว
วัวกว่า ๒๐๐ ตัวผลัดกันเดินเข้า-ออกซองรีดนม จนในที่สุดก็ครบทุกตัวแม้ถังรวมนมดิบใบสุดท้ายถูกส่งขึ้นท้ายรถกระบะ แต่งานเก็บล้างยังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นฉันเยังต้องทำความสะอาดหัวรีดและถังรีดนมโดยต้องขัดกันให้เอี่ยมทุกซอกทุกมุมเชียว ไม่เช่นนั้นแล้วคราบที่ตกค้างจะเป็นตัวการที่ทำให้น้ำนมดิบนั้นเสียเร็ว
กว่าจะเสร็จงานช่วงเช้าก็เกือบ ๙ โมง หลังกินข้าวเช้ากันแล้วยังมีงานอื่นๆ รออยู่เช่นตัดหญ้าทำหญ้าหมักซ่อมรั้วทำความสะอาดคอก ฯลฯ หมุนเวียนไปในแต่ละวันจนกระทั่งบ่าย ๓ โมง งานรีดนมแม่วัวจึงเริ่มขึ้นอีกครั้งและจบลงตอนราวๆ ๕ โมงเย็น เป็นเช่นนี้ทุกวัน
หลายวันผ่านไปกิจวัตรก็ยังคงเป็นแบบนี้ ส่วนใหญ่จะสมัครใจอยู่เก็บล้างที่ฟาร์มแต่บางวันฉันก็โดดงานล้างถังด้วยการตามไปดูการส่งนมให้ถังรวมน้ำนมดิบขององค์การอุตสาหกรรมโคนม (อ.ส.ค.) บ้าง แต่วันนี้มีเหตุการณ์ที่แตกต่างออกไป
“หมออยู่หรือเปล่า” เสียงคุ้นหูตะโกนเรียกดังมาก่อนที่เจ้าตัวจะมาถึง
“อยู่นี่ค่ะพี่ไก่มีอะไรเหรอ” ฉันตะโกนตอบพลางล้างมือที่เต็มไปด้วยฟองน้ำยาล้างจานกลิ่นมะนาว
“ไปดูวัวออกลูกกัน”
แหม…ประสบการณ์ดีๆ แบบนี้ใช่ว่าจะพบได้บ่อยๆ ใครจะยอมพลาดฉันรีบโดดซ้อนท้ายจักรยานของผู้ดูแลนักศึกษาฝึกงานโดยไม่รีรอ ที่คอกเตรียมคลอด นางวัวไม่ได้ทำท่าทุกข์ร้อนหรือหวาดวิตกอะไรกลับยืนเคี้ยวหญ้าไบ่ๆ สบายอารมณ์ ในขณะที่ปากช่องคลอดเริ่มเปิดและมีจมูกสีชมพูยื่นออกมาแล้ว! แทบไม่ต้องเบ่งเจ้าลูกวัวน้อยก็พรวดพราดออกมาสู่โลกใบใหม่
“ว้า…” เสียงร้องของคนงานที่เข้าไปนั่งยองๆ ยกขาเจ้าลูกวัวขึ้นเพื่อดูเพศ ได้ยินดังนั้นคนอื่นๆ จึงทำหน้าเซ็งไปเป็นแถบๆ
เป็นอะไรกันไปหมดนี่? ปฏิกิริยาของทุกคนทำเอาฉันงงขนาดหนัก สุดท้ายจึงเป็นหน้าที่ของพี่เจ้าฟาร์มซึ่งอธิบายว่า เนื่องจากเป็นฟาร์มวัวนมจึงต้องเก็บเฉพาะตัวเมียไว้เป็นเรื่องการลดต้นทุนในการดูแล แม้เราทุกคนจะเสียใจ แต่การทำงานก็ยังคงต้องดำเนินต่อไปแบบโลกของผู้ใหญ่ที่ต้องตัดบางสิ่งเพื่ออีกหลายสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ
นมน้ำเหลือง (colostrum) ที่จะไหลออกมาแค่ภายใน ๒๔ ชั่วโมงแรกเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกวัว เมื่อไม่มีลูกวัวดูดกิน แถมรีดผสมลงในถังรวมน้ำนมดิบก็ไม่ได้ เพื่อไม่ให้นมน้ำเหลืองนั้นเสียเปล่า เมนูพื้นบ้านที่มีเฉพาะฟาร์มวัวนมจึงถูกสร้างสรรค์ขึ้น
งานนี้ฉันเป็นผู้แสดงฝีมือรีดนมน้ำเหลืองจากเจ้าวัวจุดด้วยตัวเองเชียว ส่วนพี่ไก่ก็นำน้ำนมสีเหลืองอ่อนๆ นั้นไปนึ่ง ไม่กี่อึดใจก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของนมที่ถูกความร้อนอวลออกมา สักพักก็ได้นมน้ำเหลืองนึ่งที่จับตัวกันคล้ายสังขยา ฉันลองตักคำเล็กๆ ส่งเข้าปากอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่…เพียงไม่กี่วินาทีที่รสหวานปะแล่มๆ นั้นกระจายอยู่ในปาก แต่ก็นานพอจะทำให้รู้สึกว่าโลกหยุดหมุนเลยล่ะ
“นี่แค่รสแบบเด็กๆ เดี๋ยวเราไปเก็บพริก” พี่ไก่บอกพลางเดินนำไปทางด้านหลังฟาร์ม
พริกของพี่ไก่ ไม่ได้ขึ้นตามสวนครัว แต่ต้องเดินขึ้นเขาไปเก็บกัน เราเดินไปตามทางเดินแคบๆ ที่เกิดจากการเหยียบย่ำผ่านทางเป็นประจำของพวกวัว ทำให้ไม่ต้องใช้กำลังภายในมาหักล้างถางพงกันมากนัก ‘ต้นพริกป่า’ ที่ตามหากันอยู่ขึ้นกระจายๆอยู่ตามทางนี้เอง
เดิมเด็กเมืองอย่างฉันรู้จักแต่เพียงพริกขี้หนูและพริกชี้ฟ้าเท่านั้นแต่เมื่อได้ลองซ่ากับพริกป่าดูบ้างความเผ็ดร้อนของมันทำให้แทบพุ่งตัวลงหนองน้ำใกล้ๆ เพื่อดับลูกไฟในปากแบบในการ์ตูนทีเดียวตกลงว่าที่เก็บไปถุงใหญ่คงใช้แค่ ๓ เม็ดก็พอ
เมื่อกลับถึงฟาร์มพี่ไก่ก็สวมบทบาทแม่ครัวหัวป่าก์ปรุง ‘นมน้ำเหลืองผัดเผ็ด’ ทันทีเริ่มต้นด้วยการผัดพริกแกงจนกลิ่นหอมออกมาจากครัวเสียงจามฮัดชิ่วๆ ของคนงานเป็นเครื่องการันตีความ ‘เด็ด’ ได้เป็นอย่างดี
จากนั้นจึงใส่นมน้ำเหลืองที่นึ่งไว้ลงไปแต่เราจะคนมันมากไม่ได้นะเพราะเนื้อที่เหมือนสังขยานั่นจะพาลเละเอา เนื่องจากไม่ใช่วัตถุดิบที่มีความคาวจึงใส่ตะไคร้ใบมะกรูดหรือไม่ก็ได้ ตามชอบใจสุดท้ายจึงโรยพริกป่าที่ไปเก็บมาเป็นอันเรียบร้อยเป็นขั้นตอนง่ายๆ อร่อยแบบพื้นบ้าน
“พอกินได้นะหมอ” พี่เลี้ยงนักศึกษาฝึกงานถาม
แหม…มาถามเอาตอนที่เมนูตรงหน้าหายวับไปกับตาแล้วยังอยากให้ยืนยันเสียอีกแน่ะ
เวลาผ่านไปเกือบ ๒๐ ปี นึกถึงอดีตนักศึกษาฝึกงานเงอะงะในตอนนั้นก็อดยิ้มขันกับตัวเองไม่ได้ มีเรื่องราวมากมายที่บันทึกลงในสมุดและในความทรงจำ ตั้งใจไว้ว่าหมดฤดูฝนเมื่อไรคงได้กลับไปเยี่ยมทุกคนอีกครั้ง

นัทธ์หทัย วนาเฉลิม
สำเร็จการศึกษาจากคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เคยได้รับรางวัลสารคดียอดเยี่ยม นายอินอะวอร์ด ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๕๘ ประเภทสารคดีเชิงศิลปวัฒนธรรม แต่อยากเขียนสารคดีเกี่ยวกับอาหารและแหล่งที่มาบ้าง